วันเสาร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ประเพณีไทยภาคกลาง

พระนครคีรี เมืองเพชร งานประเพณีของจังหวัดเพชรบุรี

 

งานพระนครคีรี เมืองเพชรเป็นงานประเพณีไทยภาคกลางของจังหวัดเพชรบุรี ที่จัดติดต่อกันมาเป็นประจำทุกปี โดยเฉพาะในส่วนของการประดับไฟบนพระนครคีรี พร้อมทั้งจุดพลุเทิดพระเกียรติทุกค่ำคืน นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ และชมลีลาวดีล้านดอกบานสะพรั่งทั่วเขาวัง ปีละครั้ง พร้อมรับชมขบวนแห่พิธีเปิดอย่างยิ่งใหญ่ตระการตา จึงขอเชิญชวนนักท่องเที่ยวทุกท่านเดินทางมาเที่ยวชมงานในปีนี้


จังหวัดเพชรบุรี มีความรุ่งเรืองมาตั้งแต่สมัยโบราณ จังหวัดเพชรบุรีเปรียบเสมือนประตูสู่ภาคใต้ เป็นแหล่งรวมงานช่างชั้นครูของประเทศหลายแขนง ดังปรากฏในงานด้านศิลปกรรมและสถาปัตยกรรม ซึ่งจะพบเห็นได้ตามแหล่งโบราณสถาน พระราชวังและพระอารามต่างๆ จังหวัดเพชรบุรีจึงเป็นจังหวัดที่มีแหล่งท่องเที่ยวครบถ้วนสมบูรณ์ซึ่งล้วนมีความงดงาม ตลอดผู้คนในจังหวัดเพชรบุรี ที่มีวิถีการดำเนินชีวิตที่น่าสนใจที่เป็นเอกลักษณ์ รวมถึงความศรัทธายึดมั่นในพระพุทธศาสนาคนเมืองเพชร เพื่อเป็นการส่งเสริมและรณรงค์ให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวเกิดความสนใจเดินทางมาท่องเที่ยวภายในจังหวัดเพชรบุรี และเพื่อเป็นการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยว รวมถึงกิจกรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น

งานพระนครคีรี เมืองเพชร จัดขึ้นบริเวณพิพิธภัณฑสถานแหงชาติพระนครคีรี หรือ เขาวัง จ.เพชรบุรี มีกิจกรรมต่างๆ มากมาย ประกอบด้วยการแสดงศิลปวัฒนธรรม สกุลช่างเมืองเพชร การประกวดตกแต่งโคมไฟและโคมกระดาษสี การแข่งขันกอล์ฟพระนครคีรี การออกร้านกาชาด เช่น การสาธิตช่างฝีมือ และภูมิปัญญาท้องถิ่น การละเล่น และวิถีชีวิตชาวบ้าน การประดับไฟและการจุดพลุเฉลิมฉลองทุกคืน ขบวนแห่และนิทรรศการเทิดพระเกียรติฯ สำหรับกิจกรรมบนเขาวังประกอบด้วยการแสดงศิลปวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีเมืองเพชร ได้แก่ การสาธิตงานสกุลช่างเมืองเพชร การสาธิตทำอาหาร-ขนมพื้นบ้าน การสาธิตเคียวน้ำตาลโตนด-ขนมจาก การสาธิตศิลปประดิษฐ์ และเครื่องหอม การแสดงนิทรรศการ การละเล่นพื้นบ้านวิถีชีวิตไทย การแสดงดนตรีไทย งานเทศน์มหาชาติ และเวียนเทียนรอบพระธาตุจอมเพชร พร้อมกันนี้ ยังได้จัดอาสาสมัครนำชมพระนครคีรี ไว้ต้อนรับนักท่องเที่ยวเพื่อเป็นการสร้างความประทับใจที่มีโอกาสเดินทางมาเยี่ยมชมงาน
ประเพณีกำฟ้า ประเพณีชาวไทยพวน
 
 
 
ประเพณีกำฟ้า เป็นประเพณีไทย สำคัญตั้งแต่สมัยโบราณ ซึ่งเกี่ยวกับวิถีชีวิตของชาวไทยพวน ที่อาศัยกระจายไปอยู่ในหลายภูมิภาค เช่น ลพบุรี สิงห์บุรี สุพรรณบุรี ฉะเชิงเทรา นครนายก ปราจีนบุรี อุดรธานี หนองคาย แพร่ สุโขทัย อุตรดิตถ์ และพิจิตร เป็นต้น แม้การรวมตัวในแต่ละถิ่นไม่มากนัก แต่ทุกแห่งต่างก็สามารถรักษาวิถีชีวิต และขนบธรรมเนียมดั้งเดิมไว้ได้อย่างดี
 
 
ความหหมายของประเพณีกำฟ้า
กำ หมายถึง การสักการบูชา (ภาษาพวน)

กำฟ้า หมายถึง การสักการบูชาฟ้า

ประเพณีกำฟ้า เป็นประเพณีที่จัดขึ้นในเดือนมกราคม วันขึ้น 3 ค่ำเดือน 3 เป็นวันกำฟ้า ก่อนวันกำฟ้า 1 วัน คือวันขึ้น 2 ค่ำเดือน 3 จะถือเป็นวันสุกดิบแต่ละบ้านจะทำข้าวปุ้น หรือ ขนมจีน พร้อมทั้งน้ำยา และน้ำพริกไว้เลี้ยงดูกัน มีการทำข้าวหลามเผาไว้ในกระบอกข้าวหลามอ่อน มีการทำข้าวจี่ ข้าวจี่ทำโดยนำข้าวเหนียวที่นึ่งสุกแล้วนำมาปั้นเป็นก้อนขนาดพอเหมาะ อาจจะใส่ใส้หวานหรือใส่ใส้เค็มหรือไม่ใส่ใส้เลย ก็ได้ เสียบเข้ากับไม้ทาโดยรอบด้วยไข่ แล้วนำไปปิ้งไฟจนสุกหอม ข้าวจี่จะนำไปเซ่นไหว้ผีฟ้าและแบ่งกันกินในหมู่ญาติพี่น้อง พอถึงวันกำฟ้าทุกคนในบ้านจะไปทำบุญที่วัด มีการใส่บาตรด้วยข้าวหลาม ข้าวจี่ ตกตอนบ่ายจะมีการละเล่นไปจน ถึงกลางคืน การละเล่นที่นยมได้แก่ ช่วงชัย มอญซ่อนผ้า นางด้ง

ประเพณีกำฟ้า ของชาวไทยพวนในหมู่บ้านต่างๆ จะถูกจัดขึ้นไม่ตรงกัน แล้วแต่ท้องที่ แต่จะถือกันว่าให้จัดขึ้นภายใน 3 เดือน คือเดือนอ้ายขึ้น 14 ค่ำ เดือนยี่ขึ้น 13 ค่ำ และเดือน 3 ขึ้น 3 ค่ำ สำหรับในจังหวัดสิงห์บุรีจะถือเอาวันขึ้น 3 ค่ำ เดือน 3 ของทุกๆ ปีเป็นวันกำฟ้าในวันแรกของงานคือวันขึ้น 2 ค่ำ เดือน 3 หรือที่เรียกว่า "วันสุกดิบ" นี้ชาวบ้านจะช่วยกันทำ "ข้าวปุ้น"หรือ "ขนมจีน" กับทั้งน้ำยาหรือน้ำพริกอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อนำไปทำบุญถวายพระที่วัดส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งแต่ต่อมาจะแจกจ่ายให้ตามบ้านญาติพี่น้อง เพื่อเป็นการแสดงความเอื้ออารีต่อกัน

ถือเป็นการทำกุศลอย่างหนึ่งน้อยกว่าได้มีการ เปลี่ยนจากข้าวปุ้นมาเป็นการเผา "ข้าวหลาม" แทน หรือที่เรียกกันว่า"ข้าวหลามทิพย์" แทนเพราะลงทุนและเก็บได้หลายวันบางคนจึงเรียกงานบุญกำฟ้าว่า "งานบุญข้าวหลาม" ก็มีพิธีทางสงฆ์ในวันกำฟ้านี้ จะมีพระสงฆ์จำนวน 9 รูปมาเจริญพระพุทธมนต์เย็นจากนั้นผู้อาวุโสในหมู่บ้าน เรียกกันว่า "อาจารย์" จะแต่งชุดสีขาว ก็จะทำพิธีสวดเบิกบายศรีบูชาเทวดาพร้อมกับอัญเชิญเทวดาทั่วสารทิศมารับเครื่องสังเวยและดูพิธีกรรม

ประเพณีกำฟ้า มีการรำขอพรโดยหญิงสาวภายในหมู่บ้าน เสร็จจากการรำถวายแล้วก็เป็นอันเสร็จพิธีสำหรับชาวบ้านเมื่อเสร็จจากทำบุญในตอนเช้าแล้ว ตอนบ่ายก็จะร่วมพิธีกรรมร่วมกันส่วนในตอนเย็นชาวบ้านก็จะร่วมกันเล่นกีฬาพื้นบ้าน เช่น ไม้หึ่ม มอญซ่อนผ้า ช่วงรำวิ่งวัว(ใช้คนวิ่งเป็นคู่ๆ ผู้คว้าธงแดงได้ก่อนเป็นผู้ชนะ) ตีไก่ หรือการเล่นแตะหม่าเปย (คล้ายสะบ้า)กันอย่างสนุกสนานและต่อจากนี้ไปอีก 5 วัน ชาวบ้านก็จะจัดสำรับกับข้าวอาหารคาวหวานไปถวายพระภิกษุที่วัดอีกครั้งหนึ่งเมื่อเสร็จจากการทำบุญแล้วก็จะนำเอาฟืนซึ่งกำลังลุกอยู่ในเตาไฟดุ้นหนึ่งไปลอยในแม่น้ำลำคลอง ที่อยู่ใกล้บ้านเพื่อเป็นการสักการะบูชาเทพยดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์บนท้องฟ้าเพื่อจะบันดาลให้ฝนตกลงมา และในช่วง 7 วันนี้ ผู้เฒ่าผู้แก่ก็จะคอยฟังเสียงฟ้าร้องคำรามว่ามาจากทิศใด ห่างหรือถี่ขนาดไหนแล้วก็จะทำนายทายทักไปตามทิศนั้นว่าปีนี้ฝนจะตกมากหรือตกน้อย การทำนาจะได้ผลดีหรือได้ผลน้อย เป็นต้น
 
ประเพณีรับบัว งานประเพณีไทยของชาวจังหวัดสมุทรปราการ
 
 
 
ประเพณีรับบัว เป็นงานประเพณีไทยของชาวจังหวัดสมุทรปราการ เกิดขึ้นเพราะความมีน้ำใจที่ดีต่อกันของคนไทยในท้องถิ่น กับคนมอญพระประแดงซึ่งทำนาอยู่ที่ตำบลบางแก้ว ครั้นถึงช่วงเวลาออกพรรษาคนมอญจะกลับไปทำบุญที่อำเภอพระประแดง จึงได้ร่วมกันเก็บดอกบัวเพื่อให้คนมอญนำกลับไปถวายพระที่วัดนับแต่นั้นเป็นต้นมา ชาวอำเภอพระประแดงและอำเภอเมืองต่างพร้อมใจกันพายเรือมาเก็บดอกบัวที่อำเภอบางพลี และถือเป็นโอกาสอันดีที่ได้นมัสการหลวงพ่อโตต่างพากันร้องรำทำเพลงบนเรือเพื่อสร้างความสนนกสนาน ซึ่งชาวบางพลีก็จะจัดเตรียมต้อนรับเป็นอย่างดี จึงเป็นที่มาของประเพณีรับบัว ซึ่ง เริ่มตั้งแต่วันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 11 ของทุกปี
 
 
 
ประเพณีรับบัว กำหนดจัดขึ้น ณ ที่ว่าการอำเภอบางพลี วัดบางพลีใหญ่ใน และตลอดเส้นทางลำคลองสำโรงระหว่างที่ว่าการอำเภอบางพลี จนถึงวัดบางพลีใหญ่ใน ตั้งแต่ 06.00 - 24.00 น. ทุกวัน ยกเว้นวันสุดท้ายที่สิ้นสุดเวลา 13.00 น. โดยทางผู้จัดได้เตรียมการแสดง การประกวด การแข่งขัน กิจกรรมต่างๆ ไว้ 9 รายการ ที่ไม่ควรพลาดชม พร้อมกับคาดว่าจะได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก น่าจะมีเงินสะพัดในระบบมากกว่า 100 ล้านบาท ทั้งจากการจับจ่ายสินค้า ผลิตภัณฑ์ การบริการ โรงแรม และกิจกรรมต่างๆ ด้านการสันทนาการและการท่องเที่ยว ตลอดระยะเวลาการจัดงาน

ประเพณีรับบัว อำเภอบางพลี นี้ ถือได้ว่า เป็นสินค้าสำคัญทางด้านวัฒนธรรมที่ประเทศไทย สามารถสร้างเป็นจุดขายสำหรับการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมประเพณีที่มีความโดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ได้เป็นอย่างดี ด้วยแนวคิดที่ว่า “หนึ่งเดียวในโลก แห่งเดียวในประเทศไทย” โดยประเพณีรับบัว เป็น ประเพณีไทย ดีงามของท้องถิ่นที่สืบทอดกันมายาวนาน และเป็นกิจกรรมสำคัญทางพุทธศาสนา เพื่อให้พุทธศาสนิกชนนำดอกบัวมานมัสการหลวงพ่อโต วัดบางพลีใหญ่ใน อันเป็นที่เคารพสักการะและเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการอีกด้วย
 
ประเพณีไทยขึ้นเขาเผาข้าวหลาม
 
เป็นประเพณีไทยการทำบุญถวายข้าวหลาม ขนมจีนน้ำยาป่าแด่พระภิกษุสงฆ์ วัดหนองบัว วัดหนองแหน ซึ่งอยู่ในเขต อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา เหตุที่ถวายข้าวหลามนั้น อาจเป็นเพราะเดือน 3 เป็นฤดูกาลเก็บเกี่ยวข้าว ชาวบ้านส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทำนา จึงนำข้าวอันเป็นพืชหลักของตนที่ได้จากการเก็บเกี่ยวครั้งแรก ซึ่งเรียกว่าข้าวใหม่ จะมีกลิ่นหอมน่ารับประทานมาก นำมาทำเป็นอาหาร โดยใช้ไม้ไผ่สีสุกเป็นวัสดุประกอบในการเผา เพื่อทำให้ข้าวสุก เรียกว่า “ข้าวหลาม” เพื่อนำไปถวายพระภิกษุ
 
 
 
 
ประเพณีไทยบุญเดือนสามแสดงให้เห็นถึงการระลึกถึงคุณประโยชน์ของธรรมชาติ ด้วยการบูชาพระแม่โพสพ นับเป็นการสืบทอดและอนุรักษ์ไว้ซึ่งประเพณีอันดีงามของท้องถิ่นให้คงอยู่สืบไป และเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวของอำเภอบ้างฉาง และจังหวัดระยอง ตลอดจนเป็นการเสริมสร้างความสามัคคีระหว่างส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจภาคเอกชน พ่อค้า และประชาชนในท้องถิ่นที่ร่วมกันจัดกิจกรรมงานประเพณีของท้องถิ่นอีกด้วย

ประเพณีไทยบุญเดือนสามเดิมเรียกว่าทำบุญกลางทุ่ง เป็นประเพณีที่ยึดถือสืบต่อกันมาแต่บรรพบุรุษ เนื่องจากสมัยก่อนบ้างฉางปลูกข้าวมากเมื่อเวลาเก็บเกี่ยวข้าวเหนียวใหม่ จึงตัดไม้ไผ่มาเผาเป็นข้าวหลามและนิมนต์พระมากลางทุ่ง เพื่อความเป็นสิริมงคลของชาวบ้านก็จะนำข้าว อาหาร และข้าวหลามที่เผาสุกใหม่ๆ ถวายพระ ถือเป็นการทำบุญข้าวใหม่ประจำปีประมาณเดือนสาม ดังนั้นจึงเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ทำบุญเดือนสาม

ประเพณีขึ้นเขาเผาข้าวหลามของชาวจังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นประเพณีที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ ซึ่งอพยพมาจากเวียงจันทร์ สมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) ซึ่งเรียกตัวเองว่า “ชาวลาวเวียง” ปัจจุบันตั้งถิ่นฐานอยู่ในเขต อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา

เมื่อชาวบ้านเก็บเกี่ยวข้าวใหม่เรียบร้อยแล้วก็จะกำหนดวันทำบุญ นิยมเลือกที่ลานชายทุ่ง และอยู่ในชุมชนหนาแน่น แล้วไปนิมนต์พระที่วัดใหม่ในหมู่บ้านมาเจริญพระพุทธมนต์เย็น ในวันเจริญพระพุทธมนต์เย็นนั้นชาวบ้านจะนิยมนำข้าวหลาม (เผาข้าวหลาม) เพราะข้าวหลามเป็นข้าวใหม่แต่ละบ้านจะเผากันมาก คือทำแจกจ่ายลูกหลานและนำไปทำบุญข้าวเปลือกด้วย ถือว่าเป็นการบูชาพระคุณแม่โพสพ ในตอนเช้าชาวบ้านก็จะนำสำรับกับข้าวพร้อมข้าวหลามข้าวเปลือกถวายพระเมื่อพระฉันเสร็จก็จะให้พรเป็นอันเสร็จพิธี จึงเท่ากับเป็นการรักษาประเพณีดั้งเดิมที่เคยปฏิบัตมา ซึ่งเป็นการจรรโลงพระพุทธศาสนาทางหนึ่ง
ประเพณีนบพระ เล่นเพลง ประเพณีประจำปีจังหวัดกำแพงเพชร
 
 
 
ความเป็นมาของงานประเพณีนบพระ เล่นเพลง
 
ตั้งแต่สมัยโบราณ บริเวณซึ่งเป็นที่ตั้งของจังหวัดกำแพงเพชรเป็นที่ตั้งของเมืองต่างๆ หลายเมือง เช่น เมืองนครชุม เมืองชากังราว เมืองคณฑี เมืองไตรตรึงษ์ เมืองเทพนคร และเมืองพาน ต่อมาในภายหลังเมืองต่างๆ ได้ล่มสลายไปตามความเปลี่ยนแปลงของระบบการปกครองและกาลเวลาจนกระทั่งเหลือแต่เมืองชากังราวและกลายเป็นจังหวัดกำแพงเพชรในปัจจุบัน
 

 
ประเพณีนบพระ เล่นเพลงเป็นประเพณีไทยสมัยโบราณ เมื่อถึงวันเพ็ญเดือนสามหรือวันมาฆบูชา เจ้าฟ้า เจ้าแผ่นดินก็จะนำผู้ครองนครเจ้าเมืองน้อยใหญ่ พร้อมทั้งเหล่าไพร่ฟ้าข้าราชบริพารและประชาชน จัดตกแต่งขบวนเป็นพยุหยาตรา พากันไปนมัสการพระบรมสารีริกธาตุ ณ วัดพระบรมธาตุ เป็นประจำ เรียกสั้นๆ ว่าพากันไป “นบพระ” เป็นธรรมดาของชาวไทยทั่วไป ซึ่งมีอารมณ์ศิลปินประจำใจ เมื่อมาอยู่ร่วมกันเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาจากต่างท้องถิ่นกันด้วย จึงจัดการแสดงการละเล่นต่างๆ ประกวดประชันแข่งขันกันตามขนบธรรมเนียมประเพณีของแต่ละหมู่บ้านเรียกกันว่า “เล่นเพลง”
 
 
 
งานประเพณีนบพระ เล่นเพลง จ.กำแพงเพชร
งานประเพณี นบพระ เล่นเพลง ซึ่งจะจัดขึ้นในวันมาฆบูชา ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 เป็นประจำทุกปี โดยจะจัดขึ้นบริเวณสนามหน้าเมือง และอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร และในทุก ๆ ปี จะมีการจัดงานกาชาดจังหวัดกำแพงเพชรด้วย แต่เนื่องจากปีนี้ได้เกิดมหาอุทกภัยขึ้นในหลายพื้นที่ของประเทศ รวมถึงจังหวัดกำแพงเพชรด้วย ทำให้ส่วนราชการ หน่วยงาน และองค์กรต่าง ๆ ได้ให้ความช่วยเหลือประชาชน มีการเปิดรับบริจาคสิ่งของต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ดังนั้น จังหวัดกำแพงเพชร จึงได้พิจารณาเห็นว่า เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน จึงของดการจัดงานในส่วนของกาชาดจังหวัดกำแพงเพชร สำหรับภายในงานมีการแสดงแสง สี เสียง การออกร้านจำหน่ายสินค้า หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ การจำหน่ายอาหารพื้นบ้าน การแสดงของนักเรียนโรงเรียนต่าง ต่าง ๆ รวมถึงการแสดงโขน และอนุรักษ์นาฎศิลป์ขั้นสูงของไทยด้วย งานประเพณีนบพระ เล่นเพลง ได้รับความสนใจจากชาวกำแพงเพชร และจังหวัดใกล้เคียงเป็นอย่างมาก
ประเพณีแห่พระบรมสารีริกธาตุวัดนางชี กรุงเทพมหานคร
 
ประเพณีแห่พระบรมสารีริกธาตุวัดนางชี เป็นงานบุญประเพณีประจำปีของเขตภาษีเจริญ ฝั่งธนบุรี จังหวัดกรุงเทพมหานคร จัดขึ้นในวันแรม 2 ค่ำ เดือน 12 ของทุกปี หลังวันงานลอยกระทงและเทศน์มหาชาติ ซึ่งในสมัยก่อน เรียกว่างานชักพระ ซึ่งแตกต่างจากงานชักพระของจังหวัดทางภาคใต้ เป็นงานชักพระแห่งเดียวที่จัดขึ้นในกรุงเทพฯ และยังแตกต่างไปจากงานชักพระทางจังหวัดภาคใต้ซึ่งเป็นประเพณีอันสืบเนื่องมาจากพระพุทธประวัติตอนที่พระพุทธเจ้าเสด็จจากดาวดึงส์เมื่อเสด็จมาจากดาวดึงษ์แล้ว จึงอัญเชิญพระพุทธองค์ประทับบนบุษบกที่เตรียมไว้แห่แหนไปสู่ที่ประทับ ซึ่งจัดทำกันในวันแรม ๑ ค่ำเดือน ๑๑ อันเป็นวันออกพรรษาโดยอัญเชิญพระพุทธรูปขึ้นไปประดิษฐานบนบุษบกที่อยู่บนรถหรือบนเรือแล้วให้เรือชาวบ้าน หรือคนช่วยกันจับปลายเชือกลากพระไป แต่งานชักพระวัดนางชีเป็นการเชิญพระบรมสารีริกธาตุ และพระธาตุสาวกขึ้นประดิษฐานบนบุษบกแทนแล้วชักแห่ไปทางเรือจากหน้าวัดนางชีไปตามลำคลองด่าน เลี้ยวซ้ายออกไปตามคลองบางกอกใหญ่ และผ่านมาช่วงปลายของคลอง
 
 
 
 
วัดนางชีเป็นวัดที่สันนิษฐานกันว่าสร้างขึ้นในสมัยอยุธยา สาเหตุที่สร้างเนื่องมาจาก ลูกสาวของเจ้าพระยาพิชิตชัยมนตรีป่วยโดยไม่รู้สาเหตุจนกระทั่งชีปะขาวมาเข้าฝันเจ้าพระยาพิชิตชัยมนตรีให้แก้บนโดยการให้ลูกสาวบวชชี ดังนั้นเมื่อลูกสาวหายจึงให้ลูกสาวบวชชี และได้สร้างวัดนี้ขึ้น ต่อมา ได้กลายเป็นวัดร้างในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พ่อค้าชาวจีนดชได้เป็นผู้บูรณะ ปฏิสังขรณ์ใหม่และแก้ไขดัดแปลงให้เป็นอุโบสถและวิหารแบบจีน มีการประดับ ประดาด้วยตุ๊กตาหินแบบจีน และได้ถวายให้พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พระนามว่า วัดนางชีโชติการาม ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 3 ได้มีการบูรณะปฏิสังขรณ์อีกครั้ง
 
 
 
ประเพณีแห่พระบรมสารีริกธาตุวัดนางชี ทางวัดจะนำพระบรมสารีริกธาตุมาให้สรงน้ำกันในตอนเช้า หลังจากนั้นก็จะเคลื่อนขบวน โดยมีเรือที่คอยลากจูงเรือพระที่เป็นเรือใหญ่ตั้งบุษบกและตกแต่งสวยงาม และมีวงปี่พาทย์บรรเลง ในสมัยต่อมาให้เรือยนต์เป็นเรือประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุเรือที่ตามขบวนเป็นเรือหางยาวและชาวบ้านไม่ได้มาร่วมขบวนเหมือนสมัยก่อน แต่จะนั่งดูขบวนแห่ตามริมคลอง ในขบวนมีการละเล่น ร้องรำทำเพลงเมื่อถึงวัดไก่เตี้ยก็จะอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุขึ้นประดิษฐานให้ชาวบ้านได้สักการะบูชา
 
 
พระบรมสารีริกธาตุที่วัดนางชีบรรจุในผอบแก้ว ที่เป็นขวดน้ำหอมจากฝรั่งเศสตามประวัติได้เล่าต่อๆ กันมาว่า คณะพราหมณ์และจีนได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุบรรจุผอบทองคำ 2 ผอบมาจากชมพูทวีปเพื่อจะไปประดิษฐานไว้ที่อาณาจักรศรีวิชัยและเชียงใหม่โดยทางเรือ แต่เรือเกิดอุบัติเหตุที่ปากน้ำครองด่าน เมืองธนบุรี ดังนั้นคณะพราหมณ์และชาวจีน จึงอัญเชิญ เสด็จพระบรมสารีริกธาตุประดิษฐานแต่ไม่ทราบว่าที่ใดเวลาผ่านไปผอบได้จมดิน จนเมื่อวัดนางชีสร้างเสร็จผอบก็ปรากฏให้แม่ชีเห็นจึงได้เชิญเสด็จประดิษฐาน ณ วัดนางชี เป็นต้นมา
 
 
ประเพณีตักบาตรดอกไม้จังหวัดสระบุรี
 
 
 
 
 
ประเพณีตักบาตรดอกไม้ จัดเป็นประเพณีไทยภาคกลางที่สำคัญ เพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธ ประวัติ อันเป็นการบูชาต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กล่าวคือ เมื่อครั้งที่พระพุทธองค์เสด็จขึ้นไป โปรด พุทธมารดาบนเทวโลกนั้น พระองค์ได้เสด็จประทับอยู่บนเทวโลก เพื่อโปรดพุทธมารดา ตลอดพรรษานั้น บรรดา อาณาประชาราษฎร์ทั้งหลายต่างคิดคำนึงถึงพระบรมศาสดา และต่างรอคอยการเสด็จกลับของพระพุทธ องค์ อยู่ตลอดเวลา ครั้นถึงวันเสด็จกลับพระพุทธองค์ชาวเมืองได้ทราบข่าวต่างดีอกดีใจเตรียม การต้อนรับการเสด็จ กลับของพระพุทธองค์อย่างมโหฬารยิ่งเมื่อพระพุทธองค์ได้เสด็จกลับมนุษย์โลกที่เมืองสังกัสสะเหล่าเทพยดาทั้ง หลายได้เนรมิตบันไดทองบันไดเงิน และบันไดแก้ว ถวายแด่พระองค์ ส่วนชาวเมืองสังกัสสะ ตั้งแต่พระราชา ตลอดจนประชาราษฎร์ทั้งหลาย รวมตลอดถึงท้าวพระยามหากษัตริย์และราษฎรจากนครอื่น ต่างมาร่วมเฝ้ารับ เสด็จอย่างล้นหลาม พร้อมจัดเตรียมบุปผามาลาเครื่องสักการะต่างๆ เพื่อเป็นพุทธบูชาครั้นถึงเวลาเสด็จ พระพุทธองค์ทรงเสด็จดำเนินทางบันได้แก้ว บรรดาเทพยดาต่างถวายสักการะ องค์พระพรหมและสักกะเทวธาร นำฉัตรเครื่องสูงบังสูรย์กางกั้นองค์พระบรมศาสดา เทพยดาทั้งหลายต่างประโคมดนตรีโปรยดอกไม้และตาม เสด็จพระพุทธองค์เพื่อถวายการส่งเสด็จกลับมนุษย์โลก เมื่อพระองค์เสด็จถึงมนุษย์โลกที่เมืองสังกัสสะนั้น เหล่า บรรดามหากษัตริย์และอาณาประชาราษฎร์ต่างปลื้มปิติโสมนัส ทำการบูชาพระบรมศาสดาด้วยดอกไม้ของหอม ต่างๆ อย่างมากมายชาวมอญได้นำเอาพุทธประวัติตอนดังกล่าวนี้มาจัดเป็นประเพณีตักบาตรดอกไม้
 
 

ได้มีการค้นพบรอยพระพุทธบาทที่วัดพระพุทธบาทราชวรมหาวิหาร ซึ่งอยู่ในสมัยพระเจ้าทรงธรรม และมรการกำหนดเทศกาลนมัสการรอยพระพุทธบาทขึ้น 2 ครั้ง ในเดือน 3 และ เดือน 4 ของทุกปี และในช่วงฤดูฝนใกล้กับวันเข้าพรรษา จะมีดอกไม้ท้องถิ่นชนิดหนึ่ง ที่จัดอยู่ในกลุ่มพืชจำพวกกระชาย และขมิ้น ซึ่งจะออกดอกในช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่งชาวบ้านที่พบเห็นดอกไม้ชนิดนี้จึงได้เก็บนำมาถวายพระสงฆ์ และชาวบ้านได้เรียกชื่อดอกไม้ชนิดนี้ว่า "ดอกเข้าพรรษา" ซึ่งมาจากช่วงเวลาที่ดอกไม้ชนิดนี้บานในช่วงเทศกาลเข้าพรรษาพอดี ชาวบ้านได้พร้อมใจกันนำดอกเข้าพรรษามาถวายพระสงฆ์ เพื่อนำไปสักการะรอยพระพุทธบาท เป็นประจำทุกๆ ปี
 
 
 
 
 
ประเพณีตักบาตรดอกไม้ ประเพณีไทยที่ชาวจังหวัดสระบุรี เมื่อย่างเข้าสู่ช่วงฤดูฝน ความชุ่มชื้น บนเชิงเขาสุวรรณบรรพต จรดเทือกเขาวงใกล้รอยพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี เป็นจุดเริ่มต้นความสวยงาม ของมวลหมู่พันธุ์ไม้ หลากสีสัน เมื่อย่างเข้าสู่ช่วงวันเข้าพรรษาของทุกปี ดอกไม้ชนิดหนึ่ง จะบานสะพรั่งขาวนวลบริสุทธิ์ ท่ามกลางความเหลืองอร่ามปะปนสีม่วง แลดูสบายตาเหนือไหล่เขาสุวรรณบรรพตและเทือกเขาวง ชาวบ้าน เรียกดอกไม้ชนิดนี้ ว่า “ ดอกเข้าพรรษา ” ซึ่งเป็นสื่อกลางระหว่าง พุทธศาสนิกชนเพื่อส่งพุทธบูชา ศรัทธา แก่พระพุทธองค์ผ่านประเพณีตักบาตรดอกไม้ เนื่องในวันเข้าพรรษา ประเพณีตักบาตรดอกไม้ ของชาวพุทธจะถือเอาวันเข้าพรรษาของทุกปี (ตรงกับแรม 1 ค่ำ เดือน 8 ) เป็นวัน ตักบาตรดอกไม้

จากที่ดอกเข้าพรรษาออกดอกในช่วงเทศกาลเข้าพรรษานั้น ชาวบ้านได้พร้อมใจกันนำดอกเข้าพรรษามาถวายพระสงฆ์ เพื่อนำไปสักการะรอยพระพุทธบาท เป็นประจำทุกๆ ปี จึงเป็นที่มาของเทศกาลประเพณีไทยงานตักบาตรดอกไม้ที่ชาวบ้านสืบทอดกันในวันเข้าพรรษา ของทุกปีจากอดีตถึงปัจจุบัน

ในปัจจุบันงานประเพณีตักบาตรดอกไม้นั้น มีผู้ที่สนใจ และเข้าร่วมงานในแต่ละครั้งเป็นจำนวนมาก ทางจังหวัดสระบุรี ได้กำหนดงานประเพณีตักบาตรดอกไม้ ช่วงวันเข้าพรรษาของทุกปี โดยจะมีพิธีเปิดงาน มีกิจกรรมต่าง ๆ ที่น่าสนใจมากมาย โดยเฉพาะขบวนแห่ของอำเภอต่าง ๆ ซึ่งบอกเล่าเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับจังหวัดสระบุรี
ยิ่งใหญ่งานประเพณีสารทไทยกล้วยไข่เมืองกำแพงเพชร
 
 
 
ประเพณีไทยการทำบุญวันสารทเป็นพิธีกรรมที่มีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย ตามที่ปรากฏหลักฐานในหนังสือของนางนพมาศ เนื่องจากศาสนาพราหมณ์เผยแพร่เข้ามาในประเทศไทย คนไทยจึงรับประเพณีนี้มาจากศาสนาพราหมณ์ด้วย ดังที่ปรากฏหลักฐานในหนังสือพระราชพิธีสิบสองเดือน ซึ่งเป็นพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
 
 
 
ประเพณีสารทไทยกล้วยไข่เมืองกำแพงเพชร จัดขึ้นในช่วงเวลาวันสารทเดือนสิบของทุกปี ประมาณปลายเดือนกันยายนถึง ต้นเดือนตุลาคม อันสืบเนื่องมาจากเทศกาลทำบุญสารทซึ่งเป็นการทำบุญเพื่อเน้นสิริมงคล แก่ข้าวในนาเป็นการเก็บเกี่ยวพืชผลครั้งแร “กระยาสารท” แปลว่า “อาหารที่ทำในฤดู สารท”

 
งานประเพณีไทย”สารทไทยกล้วยไข่เมืองกำแพง” จะจัดขึ้นที่สนามหน้าเมือง อำเภอเมืองกำแพงเพชร โดยมีกิจกรรมของการจัดงานอย่างยิ่งใหญ่ด้วยขบวนแห่ผลผลิตกล้วยไข่ที่ตกแต่งอย่างสวยงาม สอดคล้องกับพิธีทำบุญตักบาตรวันสารทไทย,พิธีทอดผ้าป่าแถว และงานแสดงคอนเสิร์ต กับการจำหน่ายสินค้า OTOP ระดับ ๕ ดาว ที่สำคัญมีการแข่งขันการกวนกระยาสารท และการประกวดการทำอาหาร คาว หวาน
 
 
เป็นจังหวัดที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยพืชผลทางการเกษตรและผลผลิต ที่สำคัญที่สุด ได้แก่กล้วยไข่และได้มีการนำเอากล้วยไข่ไปรับประทานกับกระยาสารทอันเป็นการเพิ่มรสชาติหวานอร่อยกลมกล่อมยิ่ง การจัดงานสารทไทยกล้วยไข่เมืองกำแพงเป็นงานประจำปีที่สำคัญของจังหวัดกำแพงเพชร เป็นการสืบทอดประเพณีและเพื่อส่งเสริมผลิตผลทางการเกษตร อันมีกล้วยไข่ เป็นจุดสำคัญของงาน

 
ทุกๆ ปี จะมีการจัดประกวดกล้วยไข่ เพื่อเป็นการพัฒนาสายพันธุ์กล้วยไข่ให้มีคุณภาพดียิ่งๆ ขึ้น กับจัดให้มีการประกวดพืชผลทางการเกษตร และการกวนข้าวกระยาทิพย์
 

 
ประเพณีสารทไทยกล้วยไข่เมืองกำแพงเพชร ยังนี้ยังมีการออกร้านแสดงสินค้าพื้นเมือง หัตถกรรมและที่สำคัญมีการประกวดขบวนรถกล้วยไข่ของอำเภอต่างๆ ซึ่งรถจะประดับตกแต่งด้วยส่วนประกอบต่างๆ ของ กล้วยไข่ กับการประกวดธิดากล้วยไข่ งานประเพณีสารทไทยกล้วยไข่เมืองกำแพงนี้ ถือว่าเป็นงานประเพณีที่ชาวจังหวัดกำแพงเพชรมีความภาคภูมิใจ เพราะเป็นงานบุญที่ส่งผลให้พี่น้องเกษตรกรมีรายได้ กับถือว่าเป็นงานที่ได้มีโอกาสให้การต้อนรับผู้มาเยือนเพื่อจะได้สืบสานประเพณีไทย
 

 
จากนั้นในช่วงของพิธีเปิดงานทางจังหวัดกำแพงเพชร ยังได้จัดให้มีประเพณีการแสดงของกลุ่มชาวบ้าน ที่แสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ของชาวบ้านจากอำเภอต่างๆ ประกอบพิธีเปิดงาน จนเสร็จสิ้นพิธี โดยมีนักท่องเที่ยวต่างสนใจเข้าร่วมชมขบวนแห่จำนวนมาก
 
 
ประโยชน์ของกล้วยไข่
กล้วยไข่จะมีน้ำเป็นส่วนประกอบร้อยละ 70-80 เป็นน้ำที่ไม่มีสารพิษ เป็นประโยชน์กับร่างกายมาก จะมีวิตามินต่างๆ เกลือแร่ มีกากใยมาก หน้าที่ของวิตามินและเกลือแร่ จะทำให้ระบบต่างๆ ภายในร่างกายเกิดความสมดุล ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง โดยวิตามินบี จะช่วยบำรุงระบบประสาท ทำให้ความจำดีขึ้น วิตามินซีและวิตามินอี จะสร้างความสมดุลระบบการทำงานของร่างกาย ทำให้ไม่ป่วยง่าย ส่วนกากใยในผักผลไม้ จะทำหน้าที่ดูดซับสารพิษหรือสารอาหารที่เป็นส่วนเกิน ได้แก่ ไขมัน น้ำตาล แล้วขับถ่ายออกไป ทำให้ลำไส้ไม่มีสิ่งหมักหมม จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งในลำไส้ โรคหัวใจและหลอดเลือด รวมทั้งโรคเบาหวานได้

นอกจากนี้ กล้วยไข่ งานวิจัยของสำนักโภชนาการ กรมอนามัย พบว่ามีประโยชน์สูง โดยมีวิตามินอี เบต้าแคโรทีน และวิตามีนซี ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่เป็นสาเหตุของโรคมะเร็ง หรือทำให้เกิดการอักเสบ การทำลายเนื้อเยื่อ รวมทั้งโรคตาต้อกระจกได้

ที่มา ประเพณีไทยประเพณีสารทไทยกล้วยไข่เมืองกำแพง โดย ภวัต ศรีสมบูรณ์
ภาพประกอบจาก kamphaengphet.go.th
 
ประเพณีไทย ประเพณีห่มผ้าพระปรางค์วัดพุทไธศวรรย์
 
 
 
ประวัติและความเป็นมาของวัดพุทไธศวรรย์ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันตก ในตำบลสำเภาล่ม อำเภอพระนครศรีอยุธยา ในสมัยกรุงศรีอยุธยา วัดพุทไธศวรรย์เป็นพระอารามหลวงที่ใหญ่โตและมีชื่อเสียงวัดหนึ่ง ปรากฏตามตำนานว่าสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) ทรงสร้างขึ้นในบริเวณที่ซึ่งเป็นที่ตั้งพลับพลาที่ประทับเมื่อทรงอพยพมาตั้งอยู่ก่อนสถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ที่ตรงนี้มีชื่อปรากฏในพระราชพงศาวดารว่า "ตำบลเวียงเล็กหรือเวียงเหล็ก" ครั้นเมื่อสถาปนากรุงศรีอยุธยาแล้ว ถึง พ.ศ. 1896 จึงโปรดให้สร้างวัดนี้ขึ้นเป็นพระราชอนุสรณ์ ณ ตำบลซึ่งพระองค์เสด็จมาตั้งมั่นอยู่แต่เดิม และพระมหากษัตริย์องค์ต่อ ๆ มาก็คงจะได้โปรดให้สร้างถาวรวัตถุ เพิ่มเติมขึ้นอีกหลายอย่าง อนึ่ง เมื่อเสียกรุงฯ ในปี พ.ศ. 2310 วัดพุทไธศวรรย์ก็เป็นอีกวัดหนึ่งที่มิได้ถูกพม่าทำลายเหมือนวัดอื่น ๆ ทุกวันนี้จึงยังมีโบราณสถานไว้ชมอีกมากมาย
 
 
 

 ประเพณีไทย ประเพณีห่มผ้าพระปรางค์วัดพุทไธศวรรย์
 
วัดพุทไธศวรรย์ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาทางด้านทิศใต้นอกเกาะเมือง สมเด็จพระเจ้าอู่ทองทรงสร้างขึ้นในบริเวณ “เวียงเหล็ก” ซึ่งเป็นที่ประทับเดิมของพระองค์ก่อนที่จะข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาไปสร้างพระราชวังที่ตำบลหนองโสน (บึงพระรามในปัจจุบัน)
 
 
 
ประเพณีห่มผ้าพระปรางค์วัดพุทไธศวรรย์ เป็นประเพณีไทยที่ปฏิบัติ สืบทอดกันมาจนถึงปัจจุบัน ในวันเพ็ญกลางเดือน ๖ ของทุกปี เพื่อบูชาองค์พระเจดีย์ซึ่งสมเด็จพระเจ้าอู่ทองสร้างไว้ มีขั้นตอนพิธีกรรม ดังนี้
 
 
 
ในวันขึ้น ๑๔ ค่ำ ซึ่งเป็นวันโกน จะมีการสวดมนต์เย็นที่วัด เช้าวันรุ่งขึ้นเป็นวันพระขึ้น ๑๕ ค่ำ ชาวบ้านจะนำกับข้าว คาว หวาน มาทำบุญตักบาตร โดยมีวงปี่พาทย์มาบรรเลงด้วยทางวัดว่าจ้างมา บางปีเขาก็มาช่วย เมื่อทำบุญเสร็จเรียบร้อยแล้ว ประมาณ ๙ โมงเช้า ชาวบ้านจะร่วมกันตั้งขบวน เพื่อนำผ้า ๓ สี มีเขียว แดง เหลือง ซึ่งทุกคนจะเขียนชื่อตนเองและครอบครัวในผืนผ้าแล้วตั้งขบวนแห่แหนไปที่องค์พระปรางค์ภายในบริเวณวัด โดยมีเท่งบอง แตรวง บรรเลงให้ความครึกครื้นไปตลอดเส้นทาง เมื่อถึงองค์พระปรางค์ จะมีพิธีบวงสรวงท้าวอู่ทองด้วย และจะมีผู้รู้ในประเพณี กล่าวนำในการถวายผ้าห่มพระปรางค์ แล้วคนที่อยู่ด้านบนเกือบถึงยอดพระปรางค์ ซึ่งเรียกว่า “ฝักเพกา”ก็จะห่มผ้าให้รอบย้อนรำลึกไปถึงสมัยเมื่อ ๖๐ ปีที่แล้วมา ตอนกลางคืนจะมีการเฉลิมฉลอง มีลิเก มีภาพยนตร์ มีของขาย ชาวบ้านจะมาร่วมงานกันมากมาย เป็นที่สนุกสนาน
 
 
 
ปัจจุบันการทำมาหากินเปลี่ยนสภาพไปจากอาชีพการทำไร่ทำนาของคนแถวนี้ เป็นการไปทำงานตามโรงงานอุตสาหกรรม บางปีวันห่มผ้าพระปรางค์คนมาร่วมงานน้อย ถ้าปีไหนตรงกับวันหยุดงาน ผู้คนก็จะมาร่วมงานคับคั่งในบริเวณวัดมีโบราณสถาน ระเบียงคด และตำหนักพระพุทธโฆษาจารย์ ซึ่งภายในมีภาพจิตรกรรมสมัยอยุธยาเรื่องทศชาติชาดก และเรื่องสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ไปนมัสการพระพุทธบาทที่ลังกาทวีป เจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน คือ หลวงพ่อหวล ซึ่งเป็นเกจิอาจารย์ มีลูกศิษย์ลูกหามากมายให้ความเคารพศรัทธามากราบไหว้เนือง ๆ ท่านเป็นพระนักพัฒนา ก่อสร้างถาวรวัตถุ และบูรณะโบราณสถาน โบราณวัตถุ ทำให้วัดเจริญรุ่งเรืองมีผู้คนมาเที่ยวชม ไหว้พระและศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมตลอดเวลา

ที่มา ประเพณีไทย วิถีชีวิต จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ประเพณีห่มผ้าพระปรางค์วัดพุทไธศวรรย์
ประเพณีไทย ประเพณีแห่หงส์ธงตะขาบ จังหวัดสมุทรปราการ
 
ประเพณีแห่หงส์ธงตะขาบ เป็นประเพณีไทย ของอำเภอพระประแดง โดยเฉพาะ ประเพณีแห่หงส์ธงตะขาบนี้เริ่มต้นมานานกว่า 30 ปี จะจัดขึ้นทุกวันที่ 13 เมษายนของทุกปี
 
 
 
 
 
 
 
ปัจจุบันชาวมอญในอำเภอพระประแดงมีอยู่ ๑๐ หมู่บ้าน จะมีการเวียนกันซึ่งเป็นการแบ่งเบาภาระการจัดงาน โดยเวียนกันเป็นประธานจัดงานปีละ ๑ หมู่บ้าน ซึ่งแต่เดิมมานั้นจะกระทำกันเฉพาะแต่ละหมู่บ้านเท่านั้น ถึงอย่างไรก็ตามเมื่อมีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือ เพื่อเป็นการบูชาแล้ว หมู่บ้านมอญทั้งหลายจึงร่วมมือกันจัดงานพร้อมกัน เป็นขบวนแห่แหนที่งดงามมาก ในวันที่ ๑๓ เมษายนของทุกปี หมู่บ้านที่เป็นต้นแบบของประเพณีนี้ คือ หมู่บ้านทรงคนอง ซึ่งวัดประจำหมู่บ้านคือ วัดคันลัด วัดนี้มีเสาหงส์เป็นแห่งแรกในบรรดาวัดมอญทั้งหลาย เมื่อถึงเทศกาลตรุษสงกรานต์ ชาวมอญในหมู่บ้านจะช่วยกันทำธงตะขาบขึ้นแขวนบนยอดเสาที่ประดิษฐ์ด้วยตัวหงส์
 
ประเพณีแห่หงส์ธงตะขาบ เป็น ประเพณีไทย ที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อรำลึกถึงบรรพบุรุษ ชาวมอญ หงส์ เป็นสัญลักษณ์ตัวแทนตำนานการกำเนิดถิ่นฐานของชาวมอญ ณ กรุงหงสาวดี (ตำนานของชาวมอญ) และตะขาบเป็นสัญลักษณ์ของคติธรรม ความเชื่อทางพุทธศาสนาที่เปรียบดังสัดส่วนในอวัยวะต่างๆของตัวตะขาบ ชาวมอญทั้ง 10 หมู่บ้านจะร่วมกันจัดทำธงตะขาบของหมูบ้านตน และหมันเวียนกันเป็นเจ้าภาพโดยมารวมตัวที่ศูนย์วัฒนธรรมอำเภอพระประแดงตั้งขบวนแห่ไปตามจุดต่างๆ ของตลาดพระประแดงหลังจากเสร็จสิ้นการแห่ ชาวมอญแต่ละหมูบ้านก็จะนำธงตะขาบไปแขวนที่ธงหงส์ของแต่ละวัดในหมู่บ้าน
 
 
จากการที่ชาวมอญเป็นผู้ที่นับถือศาสนาพุทธอย่างเคร่งครัด สิ่งใดที่เป็นการกระทำเพื่อพุทธศาสนาแล้ว ชาวมอญจะต้อนรับเสมอดังเช่นธงตะขาบที่มีตำนานเล่าขานกันมาและเมื่อทำธงตะขาบแล้วก็จะนำขึ้นแขวนบนเสาหงส์ จึงถือว่าเป็นการบูชาองค์สัมมาสัมพุทธเจ้า และประการสืบสาน ประเพณีไทย ต่อไป
ที่มา: หนังสือ "แนะนำประเพณีไทยท้องถิ่น จังหวัดสมุทรปราการ
 
 

7 ความคิดเห็น: